วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นักปฏิบัติธรรมยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้หรือ???

"นักปฏิบัติยุ่งการเมืองได้ไหม" หลายท่านเห็นหัวข้อแล้วอาจเกิดความรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ และเจตนารมณ์ของเว็บนี้ว่ายังไงกันแน่ ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า นักปฏิบัติธรรมแท้ๆ หรือผู้ศึกษาปริยัติแท้ๆ จะไม่มีนิสัยเป็นมงคลตื่นข่าวตามกระแส แต่จะใช้ "หลักกาลามาสูตร" อย่างสุขุมมีสติแยกแยะเหตุผลได้อย่างชัดเจนว่า อะไรดี-ไม่ดี ถูก-ผิด และมองว่าการเมืองไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายถ้าท่าน...
- ยังไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง สส. สว. อบจ. อบต. ผู้ว่า สก. สข.
- ยังทำตามนโยบายของนักการเมืองทั้งหลายที่ท่านเลือกเข้าไป
- ยังอยู่ภายใต้กฏหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
- ยังใช้สาธารณูปโภค เช่น ถนน น้ำประปา ไฟฟ้า ฯลฯ

ท่านทำอะไรๆ ก็หนีไม่พ้นการเมือง แม้แต่ พ.ร.บ.สงฆ์ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ใช่นโยบายของนักการเมือง...ถามดังๆ ว่าท่านตัดจากสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ท่านก็ควรมองทุกอย่าง อย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่เอะอะก็พูดแบบดูดีว่า "ฉันเป็นกลางจ้า" หรือ "ฉันไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดจ้า" ดูเผินๆ แล้วก็เท่ห์ดีอยู่หรอกครับ แต่ถ้าดูแบบมีเหตุมีผลในทัศนะของผมเห็นว่า คนพวกนี้ไร้เหตุผล แต่เข้าใจว่าตัวเองเท่ห์ ถ้าเราคิดแบบตื้นๆ ไม่ต้องใช้สติปัญญาอะไรมากมายนักกรณีเราเห็นคนทะเลาะกัน เราคงไม่ปัญญาอ่อนพอที่จะไปบอกเขาว่า "อย่ามัวทะเลาะกันเองอยู่เลยชาติบ้านเมืองจะแย่แล้ว" หรือ "รักพ่ออย่าทะเลาะกัน" หรือ "มาสมานฉันกันเถอะ" ฯลฯ ขอโทษนะครับคู่กรณีเขาไม่สหบาทาให้ก็บุญแล้ว ก็คนเขากำลังทะเลาะกัน ตามธรรมชาติเขาทั้งคู่ก็ต้องมั่นใจว่าตนเองถูก คู่กรณีผิด แล้วจู่ๆ มีคนโผล่มาจากไหนไม่รู้ทำเท่ห์มาบอกให้เขาเลิกทะเลาะกัน ยกตัวอย่าง สมมุติว่า มีคนหนึ่งไปขโมยเงินอีกคนหนึ่งไป เจ้าของเงินเขาตามไปเจอะแล้วขอเงินคืน คนที่ขโมยไปไม่ยอมคืนแล้วทั้งคู่ก็ทะเลาะกัน และมีคนถือหางทั้งคู่เสียงดังเซ็งแซ่จนชาวบ้านชาวเมืองเขารำคาญ แล้วจู่ๆ มีคนโผล่มาบอก "มัวทะเลาะกันอยู่ได้ ให้ทั้งคู่เลิกแล้วต่อกัน มาเริ่มต้นกันใหม่ลืมเรื่องเก่าๆ ซะ" ผลปรากฏว่าไอ้คนที่โขมยเงินชอบใจเชียร์คนกลางใหญ่เลยเพราะตัวเองได้ประโยชน์ ส่วนคนที่ถูกโขมยเงินไม่ยอมเลิกทะเลาะเพราะเขาเสียประโยชน์ และถูกกล่าวหาว่าไม่ยอมเลิกลา ท่านคิดว่ามันจะจบไหมครับ

ตามข้างต้นถ้าเราใช้ หลักกาลามาสูตร และใช้ หลักอริยะสัจสี่ หาเหตุ หาข้อเท็จจริง แล้วใช้ศิลปแก้ไขปัญหามันก็จบ เช่นเดียวกับคู่กรณีนำเรื่องขึ้นสู่ศาล แล้วศาลท่านก็ตัดสินตามข้อเท็จจริง แน่นอนมันต้องมีฝ่ายชนะ ฝ่ายแพ้ เพราะศาลท่านไม่เป็นกลาง (แบบเลือกข้างกลาง) แต่ท่านเป็นกลางโดยมองกรณีถูกไว้ก่อน แล้วท่านก็ตัดสินตามเหตุผลข้อเท้จจริง อย่าไปดัดจริตเลยว่า เป็นกลาง เพราะท่านก็เลือกข้าง ฝ่ายเป็นกลาง

กรณีเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ผมได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างใกล้ชิด และต่อเนื่องจริงจังมาตลอด มีกลุ่มสีหลายสี ผมไม่รู้จะอยู่ข้างไหนดี (คงไม่เป็นพวกขี้ขลาดทำตัวเป็นกลางแน่ๆ) เพราะยังเราก็ต้องอยู่กับการเมืองหนีไม่พ้นอยู่แล้ว ก็เลยใช้หลักกาลามาสูตร+อริยสัจสี่ ไปพิสูจน์ โดยเข้าไปร่วมฟังการปราศัยทุกกลุ่ม และไปบ่อยๆ แล้วเอาข้อมูลไปหาข้อเท็จจริง (ซึ่งหาไม่ยาก) ในที่สุดผมพิสูจน์ได้เพราะมีข้อเท้จจริงเยอะและเลือกข้างเรียบร้อย ไม่เห็นแปลกอะไร

ทีนี้พอผมมามองด้านศาสนากับการเมืองพอจะสรุปภาพรวมๆ ได้ทำนองว่า นักปฏิบัติธรรมก็ดี วัด หรือสำนักปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่เว็บไซด์ธรรมะก็ดี ไม่ควรเปิดเผยตัวตนว่าเราอยู่ข้างไหน และไม่ควรนำการเมืองเข้ามายุ่งเพราะเรื่องมันจบยาก จะเกิดความขัดแย้งแบ่งเป็นก๊กๆ หมายความว่าศิษย์สำนักเดียวกัน หรือเว็บเดียวกัน ก็ยังแบ่งพรรค แบ่งสี ทำให้เกิดความรเร่าร้อน ทำลายความสงบ ผมเคยเจอะมากับตัวเองมีน้องคนหนึ่งเขาศรัทธาผมมากเป็นพิเศษ พอทราบว่าผมอยู่คนละข้างกับเขา ผมกลายเป็นคนเลวในสายตาเขาทันที และเลิกนับถือผมเด็ดขาดมาจนทุกวันนี้ จากที่ได้คุยกันเขามีข้อมูลมาจากฟรีทีวีช่อง ๓ ๕ ๗ ๙ ๑๑ เขาพูดเหมือนทีวีทุกอย่าง แต่ผมนอกจากฟรีทีวีแล้ว ทุกสื่อผมรับหมด และเข้าไปสัมผัสเอง เราเลยคุยกันไม่รู้เรื่อง แค่เขาบอกว่าข้างผมเนี่ยถูกจ้างมาคนละ ๕๐๐ บาท ผมถามว่าคุณทราบมาจากไหน เขาบอกว่าตามทีวี เพื่อนเล่าให้ฟัง ผมก็บอกว่า เพื่อผมเหมาเครื่องบินมาคนละประมาณ ๒,๐๐๐ บาท เพื่อมารับเงิน ๕๐๐ บาทเนี่ยนะ เขาบอกว่าไม่จริง ผมถามว่าไม่จริงยังไง เขาวางหูโทรศัพท์

ที่ผมเขียนมานี่ เพียงแต่อยากบอกว่า การเมืองมันมีมาทุกยุคทุกสมัย (หากมีการปกครองจะระดับไหนก็ตาม) เพียงแต่เราเรียกต่างกัน ท่านยุ่งการเมืองได้ แต่พยายามอย่าแสดงตัวในวงกลุ่มนักปฏิบัติ ในเว็บไซด์ ในวัด หากไม่ทราบว่าเป็นพวกตัวเอง ไม่อย่างนั้นธรรมะแตกแน่นอน และควรใช้หลักกาลามาสูตร และอริยสัจสี่ พรหมวิหารสี่ วิปัสสนาญาณ แล้วปัญหาไม่เกิดแน่นอนครับ

ศ.ธรรมทัสสี

อ้างอิง >> เว็บ ศ.ธรรมทัสสี